น้ำยาล้างจาน น้ำยาเอนกประสงค์
สูตรอาจารย์พูนสวัสดิ์
ส่วนผสม
N70 (หัวแชมพู) 1 กิโลกรัม
F24 (สารขจัดคราบไขมัน) 1/2 กิโลกรัม
เกลือ 1-1.5 กิโลกรัม
วิธีทำ
ต้มเกลือโดยใช้น้ำ 2-3 ลิตร จนเกลือละลายหมด ตั้งไว้จนเย็น เอา N 7O ผสมกับ F 24 กวนให้เข้ากัน ราว 10 นาที ค่อยๆเทน้ำเกลือลงไปทีละน้อยๆ แล้วกวนให้เข้ากัน จนหมด
หลังจากนั้น เติมน้ำลงไปและกวนเรื่อยๆ โดยใช้น้ำประมาณ 10-15 ลิตร ทั้งนี้ให้สังเกตว่า ความข้นของน้ำยาอเนกประสงค์ หากยังข้นหรือเหนียวมาก ก็สามารถเติมน้ำเปล่า ลงไปได้อีก จนเห็นว่า ได้ความข้นที่เหมาะสม
ใส่หัวน้ำหอม กวนให้เข้ากัน แล้วตั้งทิ้งไว้จนฟองยุบ(1 คืน) แล้วตักใส่ขวดเอาไว้ใช้
นอกจากนี้ อาจจะใช้น้ำผลไม้เปรี้ยว หรือน้ำหมักจากผลไม้เปรี้ยวทดแทนน้ำได้บ้าง
ใช้ส่วนผสมครึ่งหนึ่งของสูตรนี้จะได้น้ำยาล้างจานประมาณ 10 ลิตร ด้วยเงินลงทุน 55 บาท
F24 กับ N70 ขายเป็น กิโล ประมาณโลละ 50 บาทกว่า ต่างจังหวัด หาซื้อได้จาก ธกส. หรือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เกือบทุกสาขา หากอยู่ใน กทม ซื้อได้ที่ร้านฮงฮวด หรือศรีสำอาง http://www.honghuat.com/home.php
หรือที่บริษัท ฮงฮวด จำกัด (สาขาจตุจักร)
ชั้น 2 เลขที่ S 39 อาคาร เจ.เจ.มอลล์ จำกัด ถ.กำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร
กรุงเทพ ฯ 10900
โทร. 0-2265-9578
แฟกซ์ 0-2265-9578
ขอเพิ่มเติมอีกสูตรของบริษัทฮงฮวด มีดังนี้
น้ำยาล้างจานถนอมมือ
ส่วนผสม
1 หัวแชมพู( emal 28 ctn) 20% 1 กก.
2 สารขจัดคราบ ( neopelelex f-24 ) 25% 1.25 กก.
3 สารชำระล้างถนอมมือ ( amphitol 55 ab ) 2% 100 กรัม
4 ผงข้น ( sodium chloride ) 1% 50 กรัม
5 cde ( aminon c-02s ) 1% 50 กรัม
6 สารกันเสีย ( bronidox l ) 0.10 % 5 กรัม
7 หัวน้ำหอม 0.15% 8 กรัม
8 น้ำสะอาด 50.75% 2.54 กก.
วิธีทำ
1.นำหัวแชมพู emal 28 ctn ผสมกับน้ำสะอาด แล้วกวนให้เข้ากัน
2.เติม สารขจัดคราบ neopelex f-24 กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
3.เติมสารชำระล้าง amphitol 55 ab กวนให้เข้ากัน
4.เมื่อกวนเป็นเนื้อเดียวกันดีแล้ว นำสารกันเสียและหัวน้ำหอม เติมลงไปกวนให้เข้ากัน
5.นำผงข้นเติมลงไปในขณะเดียวกันก็กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนี้จึงค่อยเติม aminon c-02s ปรับความหนืดจนพอใจจึงหยุด
ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.honghuat.com/doityouselt.php
วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
เปรียบมวย JAVA, ASP.NET, PHP
เปรียบมวย JAVA, ASP.NET, PHP ต่อยกันให้เละไปเลย (อ่าน 105, คอมเมน 10)
เห็นหลายคนสงสัยมาว่าทั้ง 3 ภาษานี้ อันไหนดีกว่ากัน ขอตอบว่า JAVA เพื่อเป็นการเห็นภาพ ผมเลยขอเอานักมวยทั้งสาม มาต่อยกันเวทีให้เห็น โดยผมจะทำตัวเป็นกลางที่สุด เนื่องจากผมเองเขียนทั้ง PHP, JAVA, ASP.NET พร้อม ๆ กันในแต่ละวัน ดังนั้นจึงไม่ได้เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
ยกแรก เครื่องมือ ที่สะดวก รวดเร็ว ง่ายดาย และใช้สร้างงานได้จริง
PHP = Dream Weaver
ASP.NET = Visual Studio.NET
JAVA = Netbeans, EClipse, Sun One Studio, JBuilder, Oracle JDEV, IBM Web Sphere
นี่แค่ยกแรกก็เห็น ๆ แล้วว่า JAVA เป็นต่อ เพราะเครื่องมือหลากหลาย ฟรี แถมยังรันได้บนทุก ๆ แพลตฟอร์ม ความสามารถในการเขียนโค้ด และสร้างหน้าจอ ยังเหนือกว่าฝั่ง PHP, .NET อีกด้วย
ยกที่สอง : การเขียนโปรแกรมด้านฐานข้อมูล
PHP = MySQL, MSSQL, ORACLE, DB2, Postgresql...
ASP.NET = MSSQL, ORACLE, MySQL, ...
JAVA = MySQL, ORACLE, MSSQL, Postgresql, DB2, ....
ยกสองจะเห็นว่า การรองรับฐานข้อมูลต่าง ๆ สุสีกันมาก แต่ การจะใช้แต่ละฐานนั้น JAVA ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากเอา .jar มาแปะ ก็ใช้ได้ทันที ส่วนฝั่ง php ต้องไปเปิด php.ini และหา .dll มาลงเอง พร้อมกับ config ด้วย (ถ้าเป็นการเช่าโฮส แทบทำไม่ได้เลย) และสุดท้าย .NET อันนี้รองรับไม่มาก ถ้าอยากได้มากกว่านี้ ต้องไปหา .dll มาลงเอง (ซึ่งส่วนมากก็ต้องซื้อ และหายาก)
ไม่ใช่แค่นี้ครับ ในการเปลี่ยนฐานข้อมูล (ซึ่งในระบบจริง ๆ เจอกันบ่อยครับ) สำหรับ JAVA ไม่ต้องแก้โค้ดเลย แม้แต่บรรทัดเดียว แต่ฝั่ง PHP, .NET ต้องแก้จนเรียกว่า รื้อหมด เลยล่ะ
ยกที่สาม : การนำโค้ดเดิมกลับมาใช้ใหม่
PHP = เขียนเป็น class และทำการ include เข้ามา
ASP.NET = ทำ .dll หรือจะทำไฟล์ class ไว้ใช้งานก็ได้
JAVA = ทำเป็น .jar, .class แล้วนำมาใช้ใหม่ได้เช่นกัน
ยกนี้สูสีอีกแล้ว ทั้งสามอัน สามารถ นำโค้ดเดิมกลับมาใช้ใหม่ได้หมดเลย แต่ PHP จะเสียเปรียบนิดนึงตรงที่ ปกป้องโค้ดไว้ไม่ได้ ถ้าทำโปรแกรมขายก็ซวยหน่อยนึงนะครับ
ยกที่สี่ : การพัฒนาระยะยาว แก้ไข ปรับปรุง โค้ดเดิมที่ทำไว้
PHP = เหนื่อยพอสมควร เพราะต้องไปไล่หา include ไม่รู้ไปไหนมาไหนกันบ้าง ตัวแปรไร้ที่มา
ASP.NET = ถ้าทาง .NET มีการเปลี่ยน Version ก็ซวยหน่อย เพราะโค้ดเดิมจะโดนตัดออก
JAVA = ไม่มีปัญหาใด ๆ
ในยกนี้ JAVA กินขาด ผมไม่ได้เข้าข้างนะ พูดกันตรง ๆ จริง ๆ ถ้ามีการเปลี่ยน Version ของ JAVA โค้ดเดิมก็ไม่เป็นไร ยังทำงานได้ปกติ ไม่ต้องแก้ไข นอกจากนี้ยังไล่หาที่มาที่ไปของตัวแปร คลาส และเมนทอด ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย แถมยังทำเอกสาร doc สำหรับโปรเจกได้อีก คงเคยใช้นะครับ javadoc น่ะ
ยกสุดท้าย : การเอาไปติดตั้ง และใช้กันจริง ๆ
PHP = ใช้ apache หรือจะเช่าโฮสก็ได้ ราคาไม่แพง หาง่าย แต่จะมีปัญหานิดนึงกับ version ของ php แล้วก็เรื่องการ config ini สำหรับแต่ละที่ บางลูกค้าอาจจะไม่ได้ตั้งค่า GD, XML, MySQL, MSSQL, PDO, Mod Rewrite, iconv และอื่น ๆ สารพัด ไว้ให้ บางครั้งเราก็ต้องมารื้อโค้ด หรือไม่ก็ต้องขอลูกค้า เพื่อตั้งค่าดังกล่าว (บางรายเค้าไม่ยอมนะครับ ขอเตือน)
ASP.NET = ใช้ IIS ถ้าโชคดีก็รันได้ครับ ถ้าโชคร้ายไปเจอ IIS5, 6, 7 แต่ละตัวก็ต่างกันไป แถมบน Window 2003, 2000, XP, Vista, 7 ก็ต่างกันไปอีก เจอเรื่องต่าง ๆ มากมาย หา path ไม่เจอบ้าง โน่นนี่บ้าง ก็มีนไปเลย และแน่นอนครับ เสียตังค์อีกแล้ว คิดเอาเองนะ ว่ากี่แสน
JAVA = Tomcat, JBoss, ... เยอะแยะจัง เล่าไม่หมด หรือจะหาเช่าโฮสก็ได้ครับ หายากนิดนึง ราคาก็แพงกว่า PHP, ASP.NET แต่การติดตั้งง่ายดายมาก เพราะเราทำ web.xml, และสามารถทำการ config ค่าต่าง ๆ ไว้ในโปรแกรมเราได้เลย ไม่ต้องไปยุ่งกับ server ที่เช่าหรือที่ติดตั้ง และที่ง่ายสุด ๆ คือการเอา .war ไปวางก็ใช้ได้ทันที ไม่ต้องอะไรให้วุ่นวาย
ในยกสุดท้าย JAVA ชนะน็อกเลยล่ะครับ เพราะการติดตั้งเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ถ้าเขียนมาดีชิบหายเอาไปติดตั้งไม่ได้ ก็อดได้เงินลูกค้าเหมือนกัน ดังนั้นใน PHP, .NET ต้องคุยกับลูกค้าตั้งแต่ต้นเลยว่า server ของเค้าเป็นแบบไหน ตั้งค่าอะไรเอาไว้บ้าง แต่สำหรับ JAVA ไม่สนครับ ติดตั้งได้ทุกที่ ทุกสถานการณ์ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ตามคอนเซป write one run any where
ถูกผิดยังไงช่วยเสริมด้วยนะครับ ผมไม่ได้ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เพียงแต่เขียนจากประสบการณ์ ที่ผ่านพบมา ในระยะเวลา 5 ปี (ก็ไม่มากเท่าไหร่)
เขียนเมื่อ: 2010-01-23 10:47:05 โดย: first_member
http://www.javathailand.com/frontend/blog/show/211
เห็นหลายคนสงสัยมาว่าทั้ง 3 ภาษานี้ อันไหนดีกว่ากัน ขอตอบว่า JAVA เพื่อเป็นการเห็นภาพ ผมเลยขอเอานักมวยทั้งสาม มาต่อยกันเวทีให้เห็น โดยผมจะทำตัวเป็นกลางที่สุด เนื่องจากผมเองเขียนทั้ง PHP, JAVA, ASP.NET พร้อม ๆ กันในแต่ละวัน ดังนั้นจึงไม่ได้เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
ยกแรก เครื่องมือ ที่สะดวก รวดเร็ว ง่ายดาย และใช้สร้างงานได้จริง
PHP = Dream Weaver
ASP.NET = Visual Studio.NET
JAVA = Netbeans, EClipse, Sun One Studio, JBuilder, Oracle JDEV, IBM Web Sphere
นี่แค่ยกแรกก็เห็น ๆ แล้วว่า JAVA เป็นต่อ เพราะเครื่องมือหลากหลาย ฟรี แถมยังรันได้บนทุก ๆ แพลตฟอร์ม ความสามารถในการเขียนโค้ด และสร้างหน้าจอ ยังเหนือกว่าฝั่ง PHP, .NET อีกด้วย
ยกที่สอง : การเขียนโปรแกรมด้านฐานข้อมูล
PHP = MySQL, MSSQL, ORACLE, DB2, Postgresql...
ASP.NET = MSSQL, ORACLE, MySQL, ...
JAVA = MySQL, ORACLE, MSSQL, Postgresql, DB2, ....
ยกสองจะเห็นว่า การรองรับฐานข้อมูลต่าง ๆ สุสีกันมาก แต่ การจะใช้แต่ละฐานนั้น JAVA ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากเอา .jar มาแปะ ก็ใช้ได้ทันที ส่วนฝั่ง php ต้องไปเปิด php.ini และหา .dll มาลงเอง พร้อมกับ config ด้วย (ถ้าเป็นการเช่าโฮส แทบทำไม่ได้เลย) และสุดท้าย .NET อันนี้รองรับไม่มาก ถ้าอยากได้มากกว่านี้ ต้องไปหา .dll มาลงเอง (ซึ่งส่วนมากก็ต้องซื้อ และหายาก)
ไม่ใช่แค่นี้ครับ ในการเปลี่ยนฐานข้อมูล (ซึ่งในระบบจริง ๆ เจอกันบ่อยครับ) สำหรับ JAVA ไม่ต้องแก้โค้ดเลย แม้แต่บรรทัดเดียว แต่ฝั่ง PHP, .NET ต้องแก้จนเรียกว่า รื้อหมด เลยล่ะ
ยกที่สาม : การนำโค้ดเดิมกลับมาใช้ใหม่
PHP = เขียนเป็น class และทำการ include เข้ามา
ASP.NET = ทำ .dll หรือจะทำไฟล์ class ไว้ใช้งานก็ได้
JAVA = ทำเป็น .jar, .class แล้วนำมาใช้ใหม่ได้เช่นกัน
ยกนี้สูสีอีกแล้ว ทั้งสามอัน สามารถ นำโค้ดเดิมกลับมาใช้ใหม่ได้หมดเลย แต่ PHP จะเสียเปรียบนิดนึงตรงที่ ปกป้องโค้ดไว้ไม่ได้ ถ้าทำโปรแกรมขายก็ซวยหน่อยนึงนะครับ
ยกที่สี่ : การพัฒนาระยะยาว แก้ไข ปรับปรุง โค้ดเดิมที่ทำไว้
PHP = เหนื่อยพอสมควร เพราะต้องไปไล่หา include ไม่รู้ไปไหนมาไหนกันบ้าง ตัวแปรไร้ที่มา
ASP.NET = ถ้าทาง .NET มีการเปลี่ยน Version ก็ซวยหน่อย เพราะโค้ดเดิมจะโดนตัดออก
JAVA = ไม่มีปัญหาใด ๆ
ในยกนี้ JAVA กินขาด ผมไม่ได้เข้าข้างนะ พูดกันตรง ๆ จริง ๆ ถ้ามีการเปลี่ยน Version ของ JAVA โค้ดเดิมก็ไม่เป็นไร ยังทำงานได้ปกติ ไม่ต้องแก้ไข นอกจากนี้ยังไล่หาที่มาที่ไปของตัวแปร คลาส และเมนทอด ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย แถมยังทำเอกสาร doc สำหรับโปรเจกได้อีก คงเคยใช้นะครับ javadoc น่ะ
ยกสุดท้าย : การเอาไปติดตั้ง และใช้กันจริง ๆ
PHP = ใช้ apache หรือจะเช่าโฮสก็ได้ ราคาไม่แพง หาง่าย แต่จะมีปัญหานิดนึงกับ version ของ php แล้วก็เรื่องการ config ini สำหรับแต่ละที่ บางลูกค้าอาจจะไม่ได้ตั้งค่า GD, XML, MySQL, MSSQL, PDO, Mod Rewrite, iconv และอื่น ๆ สารพัด ไว้ให้ บางครั้งเราก็ต้องมารื้อโค้ด หรือไม่ก็ต้องขอลูกค้า เพื่อตั้งค่าดังกล่าว (บางรายเค้าไม่ยอมนะครับ ขอเตือน)
ASP.NET = ใช้ IIS ถ้าโชคดีก็รันได้ครับ ถ้าโชคร้ายไปเจอ IIS5, 6, 7 แต่ละตัวก็ต่างกันไป แถมบน Window 2003, 2000, XP, Vista, 7 ก็ต่างกันไปอีก เจอเรื่องต่าง ๆ มากมาย หา path ไม่เจอบ้าง โน่นนี่บ้าง ก็มีนไปเลย และแน่นอนครับ เสียตังค์อีกแล้ว คิดเอาเองนะ ว่ากี่แสน
JAVA = Tomcat, JBoss, ... เยอะแยะจัง เล่าไม่หมด หรือจะหาเช่าโฮสก็ได้ครับ หายากนิดนึง ราคาก็แพงกว่า PHP, ASP.NET แต่การติดตั้งง่ายดายมาก เพราะเราทำ web.xml, และสามารถทำการ config ค่าต่าง ๆ ไว้ในโปรแกรมเราได้เลย ไม่ต้องไปยุ่งกับ server ที่เช่าหรือที่ติดตั้ง และที่ง่ายสุด ๆ คือการเอา .war ไปวางก็ใช้ได้ทันที ไม่ต้องอะไรให้วุ่นวาย
ในยกสุดท้าย JAVA ชนะน็อกเลยล่ะครับ เพราะการติดตั้งเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ถ้าเขียนมาดีชิบหายเอาไปติดตั้งไม่ได้ ก็อดได้เงินลูกค้าเหมือนกัน ดังนั้นใน PHP, .NET ต้องคุยกับลูกค้าตั้งแต่ต้นเลยว่า server ของเค้าเป็นแบบไหน ตั้งค่าอะไรเอาไว้บ้าง แต่สำหรับ JAVA ไม่สนครับ ติดตั้งได้ทุกที่ ทุกสถานการณ์ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ตามคอนเซป write one run any where
ถูกผิดยังไงช่วยเสริมด้วยนะครับ ผมไม่ได้ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เพียงแต่เขียนจากประสบการณ์ ที่ผ่านพบมา ในระยะเวลา 5 ปี (ก็ไม่มากเท่าไหร่)
เขียนเมื่อ: 2010-01-23 10:47:05 โดย: first_member
http://www.javathailand.com/frontend/blog/show/211
วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
หัวข้อ: จากไร่ฝิน มาเป็นกาแฟคุณภาพยอดเยี่ยมที่สุดในโลก
Noom กาแฟดอยช้าง!!!! ผมอ่านแล้วขนลุกมากครับ เลยอยากจะให้เพื่อนๆได้อ่าน นี่คือ1ในหลายหมื่นหลายแสนของผลผลิตจากปราชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว........ความพอเพียงไม่ได้หมายความให้เราต้องอยู่คู่กับความจน............ใครอยากเข้าใจมากขึ้น ลองมาตามรอย"กาแฟดอยช้าง" ไปพร้อมกันครับ
ด้วยชีวิตที่ต้องสู้ของคนดอยสูงประเทศไทยจึงมี 'กาแฟดอยช้าง' ผงาดเทียบชั้นกาแฟคุณภาพคับแก้วระดับโลก
"กาแฟดอยช้าง"อรรถรสจากยอดดอยสู่ก้นแก้ว
เปิดตำนานชีวิตชนเผ่าอาข่า
เอกลักษณ์แห่งกาแฟไทยภูเขา
กาแฟดอยช้าง เป็นผลผลิตของเกษตรกรชาวไทยภูเขาบนดอยช้าง ณ หมู่บ้านดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งแต่เดิมอาชีพหลักของชาวบ้านคือ การปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอย จนกระทั่งปี 2526 พี่น้องบนดอยช้างพร้อมใจกันเลิกปลูกฝิ่น เนื่องด้วยพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง ทรงสนับสนุนให้ปลูกกาแฟพันธุ์อราบิก้าและพืชเมืองหนาวอื่น ๆ ทดแทนโดยผ่านทางโครงการต่าง ๆ
นี่คือจุดเริ่มต้นของ.... กาแฟดอยช้าง
จากคำถามเกาะกินใจ ปลูกกาแฟแล้วทำไมขายไม่ได้ !!! ทำให้ 'อาเดล' ปณชัย พิสัยเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดอยช้าง เฟรช โรสเต็ด คอฟฟี่ จำกัด คนดอยช้างที่อยู่บนดอยสูงกว่าระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,200-1,600 เมตร ต้องเดินหน้าชน
'ผมเกิดมากับกาแฟ คุณพ่อ (นายพิก่อ แซ่ดู่) ปลูกกาแฟในดอยช้างเป็นคนแรกโลโก้ดอยช้างจึงเป็นรูปคุณพ่อ ตอนนี้อายุ 73 ปีแล้ว เดิมทีผมไม่คิดจะทำกาแฟ ไม่สนใจ แต่ด้วยความบังเอิญ ผมไปค้าขายในประเทศจีน ระหว่างเดินทางกลับเห็นกาแฟลักลอบเข้ามาขายในไทย ก็แปลกใจทำไมกาแฟของเราขายไม่ได้ แต่ของที่อื่นขายได้ ก็ลองมาทำดู ผมกับคุณพ่อเอาไปขายที่เชียงใหม่ ตั้งใจจะขาย 17 บาท/กิโลกรัม เพราะเป็นกาแฟกรีนบีน (ยังไม่แกะกะลาหรือเปลือกออก) แต่เขาไม่เอา เขาบอกว่าเอาขึ้นดอยไป ถ้าซื้อเขาให้ 10 บาท บวกค่ารถอีก 2 บาท ตอนนั้นเอาไปขายประมาณ 1,000 กิโล เราก็ต้องขาย ได้เงินมา 10,000 กว่าบาท โดนตำรวจจับก็ต้องจ่ายอีก เพราะเราไม่มีบัตรประชาชน'
อาเดลบอกว่า ตอนนั้นท้อ ไม่ทำแล้ว เพราะไม่รู้จะไปขายที่ไหน ทั้งฟันและเผากาแฟทิ้ง แต่กาแฟไม่ยอมตาย เลยมาลุยต่อ ไปหาพี่วิชา (วิชา พรหมยงค์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดอยช้าง เฟรช โรสเต็ด คอฟฟี่ จำกัด) ให้ช่วย ซึ่งพี่วิชาก็ไม่รู้เรื่องกาแฟเลย แต่มีประสบการณ์ในการค้าขายระหว่างดอยต่างๆ กว่า 30 ปีเป็นผู้ประสานงานองค์กร-ภาคเอกชนไทย-ต่างประเทศและเดินทางด้วยเท้าเปล่ามารอบโลกแล้ว
6 ปีจากวันนั้นถึงวันนี้ ล่าสุดเมษายน 2551 กาแฟดอยช้างได้รับเรตติ้ง 93 (คะแนนเต็ม 100) จาก Coffee Review ของ The World's Leading Coffee Buying Guide กลายเป็นกาแฟขึ้นมาระดับท็อปของโลกแล้ว
'เราตื่นเต้นมาก ทีมงานในสหรัฐอเมริกา แวนคูเวอร์ เขาตื่นเต้นมาก เขาบอกว่าไม่เคยเห็นกาแฟแบบนี้มาก่อนในโลก เขาบอกว่ากาแฟแบบนี้หายไปจากโลก 40 ปีแล้ว และไปเจอแคแร็กเตอร์ตัวนี้ในดอยช้าง ทำให้เราต้องปรับฐานการตลาดใหม่หมดเลย ซึ่งวันที่ 2-5 พฤษภาคมนี้ไปทำ อีเวนต์ที่มินิอาโพลิส สหรัฐอเมริกา จากนั้นวันที่ 5 พฤษภาคมเข้าแวนคูเวอร์ โตรอนโต ก็จะประชุมเรื่องการตลาดในอเมริกาเหนือให้ชัดเจน วันที่ 10-11 พฤษภาคมจะกลับมาที่มิลาน อิตาลี จดทะเบียนตั้งโรงงาน ตอนนี้ดอยช้างได้แฟร์เทรดของอียูแล้ว หลายสถาบันเริ่มยอมรับ และถ้าได้ของสหรัฐอเมริกาด้วย จะคลุมไปทั้งโลก'
กาแฟดอยช้าง ไม่ใช่กาแฟ ICO : international coffee organization ซึ่งเป็นคอมมอดิตี้ โปรดักต์ กาแฟประเภทนี้ มีประมาณ 95-97% ของโลกที่ซื้อขายกัน แต่กาแฟดอยช้างเป็น speciality coffee หรือ specility single estate หรือ single origin มีประมาณ 2-3% ของโลก
ชิมกาแฟขี้ชะมด900บาท/แก้ว ร่วมทุนสร้างร.ร.ชาวเขาดอยช้าง
สุดทึ่ง...! กาแฟขี้ชะมดบนดอยช้างราคาแพงระยับ ก.ก.ละ 60,000 บาท ผู้บริหารกาแฟแบรนด์ดอยช้างเผยเป็นกาแฟที่ถ่ายออกมาจากตัวชะมดกำลังเป็นที่ต้องการ ของทั่วโลก เปิดให้คนไทยชิมแก้วละ 900 บาท นำรายได้สร้างโรงเรียนให้เด็กชาวเขา 2-8 ขวบเรียนฟรี หวังเพิ่มโอกาสการศึกษาทัดเทียมคนพื้นราบ
นายวิชา พรหมยงค์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดอยช้างเฟรชโรสเต็ดคอฟฟี่ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์กาแฟดอยช้างเกรดเอ มีผลผลิตบนดอยช้าง ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ในปี 2552-2553 กว่า 1,700 ตัน โดยส่งออกต่างประเทศ 97% และขายในประเทศแค่ 3% ถือว่าประสบความสำเร็จในธุรกิจเพื่อสังคมนี้มากพอสมควร เพราะหลังจากได้ตรา (แบรนด์) ดอยช้างจำหน่ายแล้วยังมีผลิตภัณฑ์เกรดต่าง ๆ อีก 3-4 ยี่ห้อ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ ส่วนตลาดระดับบนที่ส่งออกไปทั่วโลกนั้น ยังอยู่ในระดับท็อปเทนของกาแฟในโลก
ดังนั้น เพื่อเป็นการคืนกำไรสู่ชาวไร่กาแฟบนดอยช้างจึงได้จัดตั้งมูลนิธิกาแฟดอยช้างขึ้น มุ่งพัฒนาการศึกษา การรักษาพยาบาล พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้กับชาวดอยช้าง 25 หมู่บ้าน โดยได้ระดมทุนเบื้องต้น 30 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงเรียนอนุบาลที่ได้ระดับมาตรฐานให้แก่เด็กชาวเขาที่มีอายุ 2-8 ปีได้เรียนฟรี ที่ผ่านมาแม้เด็กจะได้เรียนหนังสือแต่ก็ยังไม่ทันเด็กพื้นราบ ขณะนี้ได้จัดหาที่ดินไว้แล้ว 40 ไร่เพื่อเตรียมสร้างโรงเรียนดังกล่าวบนดอยช้าง
นอกจากใช้ทุนของมูลนิธิเองแล้ว ยังได้เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาทั่วไปให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยมีการนำกาแฟชนิดพิเศษซึ่งเป็นที่ต้องการของนักบริโภคกาแฟทั่วโลกออกมาให้ผู้มีจิตศรัทธาได้ทดลองชิมตามงานกิจกรรมต่าง ๆ ปีละ 500 ถ้วย จากนั้นจะรับบริจาคแล้วแต่จิตศรัทธา
"กาแฟที่ถ่ายออกมาจากตัวชะมดเป็นที่ต้องการของทั่วโลก และพบว่ากาแฟดอยช้างประเภทนี้ได้รับการยกย่องจาก นักบริโภคว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกในปีนี้หลายเวทีการประกวด ส่วนแหล่งผลิตอื่น ๆ ก็มีหลายแห่ง เช่น อินโดนีเซีย"
นายวิชากล่าวอีกว่า ด้วยรสชาติที่แปลกพิสดารและเชื่อกันว่าเกิดจากการผ่านการคัดเลือกผลสุกคุณภาพดีจากตัวชะมด และผ่านกลไกภายในร่างกายของสัตว์แล้วจึงทำให้กาแฟชนิดพิเศษนี้มีราคาอย่างต่ำกิโลกรัมละ 60,000 บาท ซึ่งบริษัทจะจำหน่ายให้ได้ชิมถ้วยละ 900 บาทเพราะ หายากมาก โดยในปีนี้พบในไร่กาแฟบน ดอยช้างได้เพียง 46 กิโลกรัมเท่านั้น
"รายได้ทั้งหมดจะนำมาสมทบทุนการดำเนินงานของมูลนิธิกาแฟดอยช้าง เพื่อ ก่อสร้างโรงเรียนให้เสร็จโดยเร็ว แต่จะเน้นรับเด็กชาวเขาที่อยู่ในพื้นที่บนดอยช้าง เท่านั้น โดยรุ่นแรกอาจจะรับได้ประมาณ 500 คน ซึ่งจะมีการประสานกับนักวิชาการที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยในการพัฒนาโรงเรียนและกิจกรรมทั้งหมด เมื่อเด็กจบการศึกษาขั้นพื้นฐานนี้ไปแล้วก็จะมีคุณภาพดี ทัดเทียมกับเด็กพื้นราบทั่วไป และเข้าสู่ระบบการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาได้เป็นอย่างดีต่อไป" นายวิชากล่าว
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.oknation.net/blog/charlee/2007/09/07/entry-1/comment
ด้วยชีวิตที่ต้องสู้ของคนดอยสูงประเทศไทยจึงมี 'กาแฟดอยช้าง' ผงาดเทียบชั้นกาแฟคุณภาพคับแก้วระดับโลก
"กาแฟดอยช้าง"อรรถรสจากยอดดอยสู่ก้นแก้ว
เปิดตำนานชีวิตชนเผ่าอาข่า
เอกลักษณ์แห่งกาแฟไทยภูเขา
กาแฟดอยช้าง เป็นผลผลิตของเกษตรกรชาวไทยภูเขาบนดอยช้าง ณ หมู่บ้านดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งแต่เดิมอาชีพหลักของชาวบ้านคือ การปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอย จนกระทั่งปี 2526 พี่น้องบนดอยช้างพร้อมใจกันเลิกปลูกฝิ่น เนื่องด้วยพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง ทรงสนับสนุนให้ปลูกกาแฟพันธุ์อราบิก้าและพืชเมืองหนาวอื่น ๆ ทดแทนโดยผ่านทางโครงการต่าง ๆ
นี่คือจุดเริ่มต้นของ.... กาแฟดอยช้าง
จากคำถามเกาะกินใจ ปลูกกาแฟแล้วทำไมขายไม่ได้ !!! ทำให้ 'อาเดล' ปณชัย พิสัยเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดอยช้าง เฟรช โรสเต็ด คอฟฟี่ จำกัด คนดอยช้างที่อยู่บนดอยสูงกว่าระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,200-1,600 เมตร ต้องเดินหน้าชน
'ผมเกิดมากับกาแฟ คุณพ่อ (นายพิก่อ แซ่ดู่) ปลูกกาแฟในดอยช้างเป็นคนแรกโลโก้ดอยช้างจึงเป็นรูปคุณพ่อ ตอนนี้อายุ 73 ปีแล้ว เดิมทีผมไม่คิดจะทำกาแฟ ไม่สนใจ แต่ด้วยความบังเอิญ ผมไปค้าขายในประเทศจีน ระหว่างเดินทางกลับเห็นกาแฟลักลอบเข้ามาขายในไทย ก็แปลกใจทำไมกาแฟของเราขายไม่ได้ แต่ของที่อื่นขายได้ ก็ลองมาทำดู ผมกับคุณพ่อเอาไปขายที่เชียงใหม่ ตั้งใจจะขาย 17 บาท/กิโลกรัม เพราะเป็นกาแฟกรีนบีน (ยังไม่แกะกะลาหรือเปลือกออก) แต่เขาไม่เอา เขาบอกว่าเอาขึ้นดอยไป ถ้าซื้อเขาให้ 10 บาท บวกค่ารถอีก 2 บาท ตอนนั้นเอาไปขายประมาณ 1,000 กิโล เราก็ต้องขาย ได้เงินมา 10,000 กว่าบาท โดนตำรวจจับก็ต้องจ่ายอีก เพราะเราไม่มีบัตรประชาชน'
อาเดลบอกว่า ตอนนั้นท้อ ไม่ทำแล้ว เพราะไม่รู้จะไปขายที่ไหน ทั้งฟันและเผากาแฟทิ้ง แต่กาแฟไม่ยอมตาย เลยมาลุยต่อ ไปหาพี่วิชา (วิชา พรหมยงค์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดอยช้าง เฟรช โรสเต็ด คอฟฟี่ จำกัด) ให้ช่วย ซึ่งพี่วิชาก็ไม่รู้เรื่องกาแฟเลย แต่มีประสบการณ์ในการค้าขายระหว่างดอยต่างๆ กว่า 30 ปีเป็นผู้ประสานงานองค์กร-ภาคเอกชนไทย-ต่างประเทศและเดินทางด้วยเท้าเปล่ามารอบโลกแล้ว
6 ปีจากวันนั้นถึงวันนี้ ล่าสุดเมษายน 2551 กาแฟดอยช้างได้รับเรตติ้ง 93 (คะแนนเต็ม 100) จาก Coffee Review ของ The World's Leading Coffee Buying Guide กลายเป็นกาแฟขึ้นมาระดับท็อปของโลกแล้ว
'เราตื่นเต้นมาก ทีมงานในสหรัฐอเมริกา แวนคูเวอร์ เขาตื่นเต้นมาก เขาบอกว่าไม่เคยเห็นกาแฟแบบนี้มาก่อนในโลก เขาบอกว่ากาแฟแบบนี้หายไปจากโลก 40 ปีแล้ว และไปเจอแคแร็กเตอร์ตัวนี้ในดอยช้าง ทำให้เราต้องปรับฐานการตลาดใหม่หมดเลย ซึ่งวันที่ 2-5 พฤษภาคมนี้ไปทำ อีเวนต์ที่มินิอาโพลิส สหรัฐอเมริกา จากนั้นวันที่ 5 พฤษภาคมเข้าแวนคูเวอร์ โตรอนโต ก็จะประชุมเรื่องการตลาดในอเมริกาเหนือให้ชัดเจน วันที่ 10-11 พฤษภาคมจะกลับมาที่มิลาน อิตาลี จดทะเบียนตั้งโรงงาน ตอนนี้ดอยช้างได้แฟร์เทรดของอียูแล้ว หลายสถาบันเริ่มยอมรับ และถ้าได้ของสหรัฐอเมริกาด้วย จะคลุมไปทั้งโลก'
กาแฟดอยช้าง ไม่ใช่กาแฟ ICO : international coffee organization ซึ่งเป็นคอมมอดิตี้ โปรดักต์ กาแฟประเภทนี้ มีประมาณ 95-97% ของโลกที่ซื้อขายกัน แต่กาแฟดอยช้างเป็น speciality coffee หรือ specility single estate หรือ single origin มีประมาณ 2-3% ของโลก
ชิมกาแฟขี้ชะมด900บาท/แก้ว ร่วมทุนสร้างร.ร.ชาวเขาดอยช้าง
สุดทึ่ง...! กาแฟขี้ชะมดบนดอยช้างราคาแพงระยับ ก.ก.ละ 60,000 บาท ผู้บริหารกาแฟแบรนด์ดอยช้างเผยเป็นกาแฟที่ถ่ายออกมาจากตัวชะมดกำลังเป็นที่ต้องการ ของทั่วโลก เปิดให้คนไทยชิมแก้วละ 900 บาท นำรายได้สร้างโรงเรียนให้เด็กชาวเขา 2-8 ขวบเรียนฟรี หวังเพิ่มโอกาสการศึกษาทัดเทียมคนพื้นราบ
นายวิชา พรหมยงค์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดอยช้างเฟรชโรสเต็ดคอฟฟี่ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์กาแฟดอยช้างเกรดเอ มีผลผลิตบนดอยช้าง ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ในปี 2552-2553 กว่า 1,700 ตัน โดยส่งออกต่างประเทศ 97% และขายในประเทศแค่ 3% ถือว่าประสบความสำเร็จในธุรกิจเพื่อสังคมนี้มากพอสมควร เพราะหลังจากได้ตรา (แบรนด์) ดอยช้างจำหน่ายแล้วยังมีผลิตภัณฑ์เกรดต่าง ๆ อีก 3-4 ยี่ห้อ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ ส่วนตลาดระดับบนที่ส่งออกไปทั่วโลกนั้น ยังอยู่ในระดับท็อปเทนของกาแฟในโลก
ดังนั้น เพื่อเป็นการคืนกำไรสู่ชาวไร่กาแฟบนดอยช้างจึงได้จัดตั้งมูลนิธิกาแฟดอยช้างขึ้น มุ่งพัฒนาการศึกษา การรักษาพยาบาล พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้กับชาวดอยช้าง 25 หมู่บ้าน โดยได้ระดมทุนเบื้องต้น 30 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงเรียนอนุบาลที่ได้ระดับมาตรฐานให้แก่เด็กชาวเขาที่มีอายุ 2-8 ปีได้เรียนฟรี ที่ผ่านมาแม้เด็กจะได้เรียนหนังสือแต่ก็ยังไม่ทันเด็กพื้นราบ ขณะนี้ได้จัดหาที่ดินไว้แล้ว 40 ไร่เพื่อเตรียมสร้างโรงเรียนดังกล่าวบนดอยช้าง
นอกจากใช้ทุนของมูลนิธิเองแล้ว ยังได้เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาทั่วไปให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยมีการนำกาแฟชนิดพิเศษซึ่งเป็นที่ต้องการของนักบริโภคกาแฟทั่วโลกออกมาให้ผู้มีจิตศรัทธาได้ทดลองชิมตามงานกิจกรรมต่าง ๆ ปีละ 500 ถ้วย จากนั้นจะรับบริจาคแล้วแต่จิตศรัทธา
"กาแฟที่ถ่ายออกมาจากตัวชะมดเป็นที่ต้องการของทั่วโลก และพบว่ากาแฟดอยช้างประเภทนี้ได้รับการยกย่องจาก นักบริโภคว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกในปีนี้หลายเวทีการประกวด ส่วนแหล่งผลิตอื่น ๆ ก็มีหลายแห่ง เช่น อินโดนีเซีย"
นายวิชากล่าวอีกว่า ด้วยรสชาติที่แปลกพิสดารและเชื่อกันว่าเกิดจากการผ่านการคัดเลือกผลสุกคุณภาพดีจากตัวชะมด และผ่านกลไกภายในร่างกายของสัตว์แล้วจึงทำให้กาแฟชนิดพิเศษนี้มีราคาอย่างต่ำกิโลกรัมละ 60,000 บาท ซึ่งบริษัทจะจำหน่ายให้ได้ชิมถ้วยละ 900 บาทเพราะ หายากมาก โดยในปีนี้พบในไร่กาแฟบน ดอยช้างได้เพียง 46 กิโลกรัมเท่านั้น
"รายได้ทั้งหมดจะนำมาสมทบทุนการดำเนินงานของมูลนิธิกาแฟดอยช้าง เพื่อ ก่อสร้างโรงเรียนให้เสร็จโดยเร็ว แต่จะเน้นรับเด็กชาวเขาที่อยู่ในพื้นที่บนดอยช้าง เท่านั้น โดยรุ่นแรกอาจจะรับได้ประมาณ 500 คน ซึ่งจะมีการประสานกับนักวิชาการที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยในการพัฒนาโรงเรียนและกิจกรรมทั้งหมด เมื่อเด็กจบการศึกษาขั้นพื้นฐานนี้ไปแล้วก็จะมีคุณภาพดี ทัดเทียมกับเด็กพื้นราบทั่วไป และเข้าสู่ระบบการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาได้เป็นอย่างดีต่อไป" นายวิชากล่าว
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.oknation.net/blog/charlee/2007/09/07/entry-1/comment
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)